หลังจบเกมที่ อาร์เซนอล เปิดบ้านแพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 3-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก นัดตกค้างเมื่อคืนที่ผ่านมา จ่าฝูงก็เปลี่ยนไปอยู่ในมือของเด็กๆ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
ก่อนหน้านี้ เดอะกันเนอร์ส เป็นผู้นำของตารางมาตลอดโดยเคยทิ้งห่างอันดับ 2 ถึง 11 คะแนนก่อนที่ 3 เกมหลังสุดพวกเขาไม่พบกับคำว่า “ชัยชนะ” จนทำให้ตัวเองต้องหล่นไปอยู่เป็นอันดับ 2 โดยมีคะแนนเท่ากับทีม เรือใบสีฟ้า แต่ยังแข่งน้อยกว่า 1 นัด
แมนฯ ซิตี้ มีสถิติที่ดีกว่า อาร์เซนอล ในยุคของ มิเกล อาร์เตต้า ชนิดที่ห่างกันราวฟ้ากับเหว โดย 5 เกมก่อนหน้านั้น เป๊ป สามารถพาทีมเอาชนะอดีตมือขวาของเขามาได้ 5 นัดรวด และเกมเมื่อคืนนี้ก็เป็นเช่นนั้นโดยทีมเยือนได้ประตูจาก เควิน เดอ บรอยน์, แจ็ค กรีลิช และ เออร์ลิง ฮาแลนด์ ในขณะที่เจ้าบ้านได้จากจุดโทษของ บูคาโย ซาก้า
จากความพ่ายแพ้ในนัดนี้ทำให้ 3 นัดหลังสุดทีมจากลอนดอนเก็บได้เพียงแต้มเดียวและโดน ซิตี้ แซงหน้าขึ้นตำแหน่งจ่าฝูงเรียบร้อย ซึ่งหากมองในแง่ดีพลพรรค ปืนโต ยังมีเกมอยู่ในมือและหากเก็บ 3 คะแนนได้ก็จะกลับไปนำเป็นจ่าฝูงเหมือนเดิม แต่ในอีกแง่หนึ่งพวกเขาก็กดดันพอสมควรกับการตามหาชัยชนะในเกมหน้า
งานยากของ อาร์เซนอล คือการต้องไล่สอย แมฯน ซิตี้ ตกจากบัลลังก์ให้ได้ ซึ่งพวกเขาไม่ได้มีประสบการณ์ตรงนี้มากเท่าไหร่นัก ต่างจากเด็ก ๆ ของ เป๊ป ที่เจอกับแรงกดดันมาแล้วทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการโดน ลิเวอร์พูล ไล่จี้อยู่แทบทุกฤดูกาล ซึ่งทำให้พวกเขามีความเคี่ยวและชำนาญกว่าในสถานการณ์เช่นนี้
เมื่อพูดถึงการเบียดแย่งแชมป์กับทีม หงส์แดง ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2019 และปี 2022 หรือปีที่แล้ว ซึ่งทั้งสองทีมทำผลงานได้อย่างโดดเด่นผลัดกันเก็บ 3 คะแนนเกือบทั้งฤดูกาลจนต้องมาตัดสินแชมป์กันในวันสุดท้ายก่อนที่นายใหญ่ชาวสแปนิชจะเป็นฝ่ายชนะไปอย่างเฉียดฉิวโดยมีแต้มห่างแค่คะแนนเดียว
มีเพียงปี 2020 เท่านั้นที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ จัดการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้ตั้งแต่นัดที่ 31 ทิ้งห่าง เดอะสกายบลู ไป 10 กว่าคะแนน เรียกได้ว่าในยุคที่ เป๊ป ครองความยิ่งใหญ่ในลีกสูงสุดของอังกฤษมีเพียง คล็อปป์ เท่านั้นที่สามารถเอาชนะเขาได้ ถ้าไม่นับซีซัน 2017 ซึ่งเป็นปีแรกที่อดีตเฮดโค้ช บาร์เซโลนา กำลังอยู่ในช่วงสร้างทีม
และในซีซันนี้ดูเหมือนว่า อาร์เตต้า มีสิทธิสูงมากที่จะเอาชนะอดีตเจ้านายของเขาได้ หากแต่ผลการแข่งขันเมื่อคืนอาจทำให้หนังม้วนเดิมที่ตอนจบ แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์กลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามถ้ามองกันในแง่ดี อาร์เซนอล ยังอยู่ในเส้นทางของการลุ้นแชมป์อยู่ ซึ่งเมื่อดูจากคะแนนบนตารางก็ยังเท่ากัน แถมแข่งน้อยกว่า 1 เกม ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้อยู่ตลอดเวลา
และอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญก็คือการที่ฟุตบอล ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายของ ซิตี้ จะกลับมาเตะกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า ซึ่ง เป๊ป และลูกทีมมุ่งมั่นอย่างมากกับการคว้าแชมป์ถ้วยใบใหญ่นี้ให้ได้เพื่อลบคำสบประมาทว่าเก่งแต่ในประเทศและเป็นทีมที่ทุ่มเงินมหาศาลแต่กลับไม่สามารถครองความยิ่งใหญ่ในยุโรปได้ ดังนั้นเชื่อว่าพวกเขาคงต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้
สถานการณ์นี้เองที่จะทำให้ อาร์เซนอล สามารถโฟกัสไปที่ พรีเมียร์ลีก ได้อย่างเต็มที่มากกว่า เพราะตอนนี้เขาไม่มีฟุตบอลถ้วยใด ๆ ให้ลุ้นแล้ว ส่วนรายการ ยูโรป้าลีก ก็เจอกับคู่แข่งที่ไม่แข็งแกร่งมากนัก เราจะได้เห็นการหมุนเวียนนักเตะเพื่อรักษาความฟิตเอาไว้เล่นในลีกอย่างแน่นอน
อาร์เตต้า รู้ดีว่าทีมของเขายังมีขุมกำลังเชิงลึกที่ไม่มากพอ การหายไปของ กาเบรียล เชซุส, โธมัส ปาร์เตย์ และ เอมิล สิมธ โรว์ เริ่มส่งผลในระยะยาว ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือการเซฟตัวจริงให้ฟิตพร้อมมากที่สุดจนถึงช่วงท้ายฤดูกาล
นอกจากนี้โปรแกรมที่เหลืออยู่ก็น่าจะเข้าทาง อาร์เซนอล มิใช่น้อย เพราะนับจากนี้ 17 นัดที่เหลือพวกเขาจะได้เจอกับทีมใหญ่อีกแค่ 4 เกม โดยเยือน ลิเวอร์พูล ในวันที่ 8 เมษายนจากนั้นวันที่ 23 ก็จะไปเยือน แมนฯ ซิตี้ ต่อด้วยเปิดบ้านรับ เชลซี วันที่ 29 และเยือน นิวคาสเซิล นัดต่อไปวันที่ 6 พฤษภาคม
ซึ่งเอาเข้าจริงเกมที่พวกเขาต้องกังวลคือการเจอกับ เรือใบสีฟ้า ที่ เอติฮัด นอกนั้นด้วยศักยภาพ ณ ปัจจุบันถ้าไม่มีตัวเจ็บเพิ่มก็มีสิทธิที่จะเก็บ 3 แต้มได้
แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น มิเกล อาร์เตต้า มี 7 เกมที่มีโอกาสจะกลับมาเก็บชัยชนะได้ ไม่ว่าจะเป็นการเจอกับ แอสตัน วิลลา ที่นำโดยเจ้านายเก่าอย่าง อูไน เอเมรี ก่อนที่จะไปเยือน เลสเตอร์ และเปิดบ้านรับ 2 ทีมลุ้นตกชั้นอย่าง บอร์นมัธ และ เอฟเวอร์ตัน ที่เพิ่งแพ้มา จากนั้นก็แวบไปเยือน ฟูแลม ที่คราเวน ค็อทเทจ และเล่นในบ้านอีก 2 นัดพบกับ ลีดส์ และ คริสตัล พาเลซ ก่อนจะทำศึกใหญ่กับ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์
7 เกมที่ว่านี้ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถและมันคือช่วงเวลาที่บอสใหญ่ เดอะกันเนอร์ส จะดึงทีมกลับสู่โมเมนต้นในการลุ้นแชมป์ได้อีกครั้ง