นานมากแล้วที่ อาร์เซนอล ไม่ได้ “ขย่ม” สเปอร์ส จนไปไม่เป็นแบบที่ทำได้ในนอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ หนล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
นี่คือเกมที่ อาร์เซน่อล ทำได้เหนือกว่า สเปอร์ส ชัดเจน โดยเฉพาะ 45 นาทีแรกที่น่าจะเป็น 45 นาทีที่ดีที่สุดในการดวลคู่ปรับร่วมกรุงลอนดอนตอนเหนือนับตั้งแต่หมดยุคไร้พ่ายอันยิ่งใหญ่
ภาพรวมตลอด 90 นาที “ปืนใหญ่” สมควรเป็นผู้ชนะอย่างไร้ข้อโต้แย้งทั้งเรื่องของฟอร์มการเล่น, ความมุ่งมั่น และทุกๆ ปัจจัยที่มีผลต่อการแข่งขัน
มิเกล อาร์เตต้า พาทีมกลับมาได้เต็มตัวด้วยชัยชนะที่สวยงามซึ่งเป็นการชนะ 4 นัดติดจากทุกรายการและเป็น 3 นัดติดในลีก แก้ตัวจากที่เริ่มต้นได้น่าผิดหวังแพ้รวดตลอด 3 นัดแรก
อาร์เตต้า ได้จัดทีมลงเล่นเกมนี้ด้วยขุมกำลังที่กลับมาสมบูรณ์พร้อมทุกคน ไม่มีใครบาดเจ็บหรือติดโทษแบนหลังจากได้ กรานิต ชาคา พ้นโทษ 3 นัดกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งและถูกส่งลงตัวจริงทันที
นั่นเป็นตำแหน่งเดียวที่ อาร์เตต้า เปลี่ยนจากเกมลีกที่บุกชนะ เบิร์นลีย์ 1-0 ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยคนที่หลุดเป็นสำรองคือ นิโกล่าส์ เปเป้
ตามตำแหน่งรายชื่อตัวจริง อาร์เซน่อล สามารถเล่นได้ทั้ง 4-2-3-1 และ 4-1-4-1 แต่เวลาเล่นจริงแล้วมีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูงเพราะนักเตะเคลื่อนที่ตลอด และเล่นน้อยจังหวะในเวลาโจมตี
อาร์เซน่อล เล่นได้อย่างที่แฟนบอลอยากจะเห็นคือเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ มีแรงกระตุ้นเต็มเปี่ยม พวกเขาออกสตาร์ทนาทีแรกด้วยการบุกทันที ไม่ต้องดูเชิงอะไรทั้งนั้น
หลังส่งสัญญาณเตือนจาก ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ในช่วงต้นเกม แฟนบอลในเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ก็ได้เฮจนได้ในนาที 12 จากการประสานงานอันยอดเยี่ยมก่อนเป็น บูคาโย่ ซาก้า โยกแล้วเปิดไปหน้าประตูให้ เอมิล สมิธ โรว์ วิ่งมาซัดตุงตาข่าย
ในเกมสุดสำคัญและเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีแบบนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเริ่มต้นด้วยการได้ประตูนำเร็วเพราะยิ่งจะทำให้เพิ่มความฮึกเหิมและมั่นใจได้อย่างมาก
มิเกล อาร์เตต้า สะใจสุดๆ
5 นัดก่อนหน้านี้ในลีก อาร์เซน่อล ยิงได้เพียง 2 ประตูจากลูกขลุกขลิกลุ้นหลายจังหวะในเกมกับ นอริช และฟรีคิกของ มาร์ติน โอเดการ์ด ในเกมกับ เบิร์นลีย์
ประตูของ สมิธ โรว์ จึงเป็นเหมือนประตูที่เป็นประตูจริงๆ ทั้งรูปแบบการเข้าทำในจังหวะโอเพ่นเพลย์ ช่วงเวลาที่ทำได้ตั้งแต่ต้นเกม และในเกมสำคัญกับคู่ปรับสุดสำคัญ
ทุกอย่างจึงเข้าทาง อาร์เซน่อล อย่างรวดเร็วและบีบให้ สเปอร์ส ต้องพยายามเดินหน้ามากขึ้นหวังทวงประตูคืนซึ่งยิ่งทำให้ข้างหลังมีพื้นที่และโดนสวนกลับเร็วจนเป็นที่มาของประตูที่ 2 และ 3
2 ประตูหลังของ อาร์เซน่อล ทำได้อย่างแม่นยำ เฉียบขาด และใช้จังหวะต่อบอลไม่เปลืองกับการเปลี่ยนจากรับเป็นรุก เปลี่ยนจากหน้าเขตโทษอีกฝั่งไปถึงอีกฝั่งในเวลารวดเร็ว
สเปอร์ส ที่เกมรับกำลังระส่ำจากการเสียไป 6 ประตูใน 2 เกมก่อนหน้านี้และเสียเร็วอีกในเกมนี้ จึงตั้งเกมรับป้องกันไม่ทัน ทุกอย่างรวนไปหมดและไม่รู้จะประกบหรือคุมโซนดี
34 นาทีแรกผ่านไป ไม่มีใครอยากเชื่อว่า อาร์เซน่อล จะนำห่าง สเปอร์ส ถึง 3-0 พร้อมด้วยรูปเกมที่ดีกว่ามาก วินาทีนั้นแทบมองไม่ออกเลยว่าไก่เดือยทองจะกลับมาได้อย่างไร
ยิ่งพลิกสถิติเก่าๆ ใน 28 เกมหลังสุดที่มาเยือนรังปืนใหญ่แล้วชนะกลับออกไปได้เกมเดียว ความเป็นไปได้ในการพลิกสถานการณ์ของลูกทีม นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
การดวลกันของสองแข้งเอเชียในดาร์บี้แมตช์
ความเฉียบขาดแม่นยำในเกมรุกของ อาร์เซน่อล คือข้อแตกต่างชัดเจนจากหลายเกมที่ผ่านมา แม้กระทั่งในช่วง 2 เกมก่อนหน้านี้ที่ชนะได้เหมือนกัน
อาร์เซน่อล ได้ยิง 12 ครั้งในเกมนี้ เข้ากรอบถึง 7 ครั้ง
เกมกับ เบิร์นลีย์ ได้ยิง 18 ครั้ง แต่เข้ากรอบเพียง 3 ครั้ง
ส่วนเกมกับ นอริช ก็ได้ลุ้นถึง 30 ครั้ง มากสุดในยุคของ อาร์เตต้า แต่ว่าเข้ากรอบเพียง 7 ครั้ง
การใช้โอกาสที่ค่อนข้างเปลืองคือจุดที่ อาร์เซน่อล เคยถูกวิจารณ์หลายครั้งเพราะด้วยแนวรุกที่ถือว่ามีโปร์ไฟล์พอตัว พวกเขาควรต้องยิงประตูได้มากกว่านี้ ฤดูกาลก่อนที่ยิงได้ 55 ประตูในลีก น้อยกว่าทุกทีมใน 9 อันดับแรก
แต่การรัว สเปอร์ส 3 ประตู และมีเปอร์เซ็นต์การยิงเข้ากรอบที่สูงกว่าทุกนัดที่ผ่านมา ก็เป็นเกมรุกที่ทำได้ดีขึ้นแบบผิดหูผิดตา
และที่ได้ใจแฟนบอลยิ่งขึ้นก็คือ ทุกจังหวะการเล่นเต็มไปด้วย “พาสชั่น” แบบได้ใจแฟนบอลและมันควรเกิดขึ้นในเกมแบบนี้ เกมดาร์บี้แมตช์ที่มีความพิเศษมากกว่าทุกเกม เกมที่ทุกคนรอคอยมากที่สุดในฤดูกาล
45 นาทีแรกของ อาร์เซน่อล เป็นไปอย่างไร้ที่ติ ทุกอย่างสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะคาดหวังได้
หากจะมี 45 นาทีจากเกมใหญ่เกมอื่นที่คุณภาพการเล่นมาพร้อมผลลัพท์ก็คงเป็นเกมที่รัว 3 ประตูใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ 19 นาทีแรกในฤดูกาล 2015/16 และนำ เชลซี ขาด 3-0 ตั้งแต่ครึ่งแรกของฤดูกาลต่อมา ซึ่งทั้งสองเกมนี้เป็นช่วงที่ เมซุต โอซิล กับ อเล็กซิส ซานเชซ ประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ
เอมิล สมิธ โรว์ โดดเด่นสุดๆ ในเกมนี้
ผู้เล่นเกมรุกเล่นกันได้เข้าขารู้ใจไม่ว่าจะเป็น โอบาเมย็อง, ซาก้า และ สมิธ โรว์ ที่มีสกอร์ทั้งหมด ขณะที่ มาร์ติน โอเดการ์ด ก็มีส่วนร่วมในการต่อบอลทุกประตูของทีม ไม่ต่างจาก ชาคา และ ปาร์เตย์ ที่เป็นจุดเริ่มต้นงัดบอลออกมาจากหน้าเขตโทษตัวเองในจังหวะสวนกลับ 2 ประตูหลัง
นอกจากเกมรุกที่เฉียบขาดแล้ว เกมรับก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้กันโดยเฉพาะการต้องรับมือกับ แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึง-มิน คู่หุสุดอันตรายที่มักเล่นงาน อาร์เซน่อล ได้เสมอ
การดวลกันในสนามที่แฟนบอลจับตามองตั้งแต่ก่อนเกมคือ ซน ฮึง-มิน ตัวรุกชาวเกาหลีใต้กับ ทาเคฮิโระ โทมิยาสึ แนวรับชาวญี่ปุ่น ที่เป็นการแบทเทิ่ลของสองนักเตะจากสองชาติที่เป็นมหาอำนาจของเอเชีย
คนแรกพิสูจน์ตัวเองและสร้างชื่อในพรีเมียร์ลีกมาหลายปีจนเป็นที่ยอมรับว่าคือหนึ่งในตัวรุกที่ดีที่สุด ขณะที่อีกคนมาทีหลังแต่มาแรงแซงทุกโค้งก่อน “ปักหมุด” การเล่นในอังกฤษได้มั่นคงยิ่งขึ้นด้วยฟอร์มอันแข็งแกร่งอีกนัด
โทมิยาสึ ปิดโอกาสของ ซน ได้เกือบทุกจังหวะทั้งการชิงขึ้นโหม่งก่อน หรือตัดบอลได้ก่อนจะถูกเลี้ยงผ่าน ไม่ว่าจะเป็นภาคพื้นดินหรือกลางอากาศ แนวรับจากแดนซามูไรไม่เสียท่าให้กับโอปป้าจากแดนกิมจิเลย
2 จังหวะที่ ซน ฮึง-มิน คุกคาม อาร์เซน่อล ได้และเป็นหนึ่งประตูตีไข่แตกมาจากการจังหวะที่ “โทมิ” สอดขึ้นไปเติมเกมรุก แต่เพื่อนร่วมทีมดันจ่ายติด ซน จึงได้กระชากเข้าไปยิงมุมแคบติดเซฟ อารอน แรมส์เดล ส่วนอีกจังหวะที่ทำประตูได้ก็มาจากการ “ชะงัก” ของผู้เล่นปืนใหญ่หลายคนหลัง กรานิต ชาคา บาดเจ็บ
ส่วน แฮร์รี่ เคน ที่ยังยิงประตูแรกในลีกไม่ได้ ก็ยังต้องรอเวลาปลดล็อกต่อไป เกมนี้เขาสลัดหนี เบน ไวท์ กับ กาเบรียล มากัลเญส เข้าไปยิงเพียง 2 ครั้ง ครั้งแรกติดเซฟ อีกครั้งงัดบอลหลุดกรอบแบบเสียราคาไม่น้อย
ช่วงท้ายเกมที่ สเปอร์ส พยายามโหมใส่ตามโมเมนตัมที่ต้องทวงประตูคืนให้ได้ เกมของ อาร์เซน่อล ดร็อปลงไปบ้างและเสียประตูคืนจนได้
เหล่ากูนเนอร์ส แฮปปี้กันถ้วนหน้า
รูปเกมเกือบจะได้เสียวยิ่งกว่านี้หาก แรมส์เดล ไม่งัดลูกเซฟ “ระดับโลก” ปัดปลายมือลูกยิงแฉลบของ ลูคัส มูร่า ชนคานหวุดหวิด
อาร์เซน่อล พลาดได้คลีนชีตที่เกือบทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบสุดๆ แต่สกอร์ 3-1 ก็เป็นผลการแข่งขันที่พลิกสถานการณ์ในตารางจากหน้ามือเป็นหลังมือได้สำเร็จ
3 นัดแรกของฤดูกาล
สเปอร์ส : ชนะรวด 3 นัด ไม่เสียประตู และนำจ่าฝูง
อาร์เซน่อล : แพ้รวด 3 นัด ยิงไม่ได้ และจมบ๊วย
แต่ 3 นัดหลังสุด อาร์เซน่อล ชนะรวด ส่วน สเปอร์ส แพ้รวด
แถมสกอร์ 3-1 ก็ทำให้ “ปืนใหญ่” ทำอันดับแซง “ไก่เดือยทอง” หน้าตาเฉยด้วยประตูที่ยิงได้มากกว่าจากการมี 9 คะแนนเท่ากัน และประตูได้-เสียเท่ากันอีก (หากชนะประตูเดียวจะแซงไม่ได้)
เรียกได้ว่าเชือดกันแบบนิ่มๆ และทำให้ลอนดอนกลายเป็น “สีแดง” แบบสะใจเหล่ากูนเนอร์สอย่างยิ่ง!