
การแต่งตั้งผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของอาร์เซนอลถือเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญยิ่ง เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวว่างลงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน และสโมสรจำเป็นต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งในระยะยาว แม้ว่าจะมีผู้สมัครหลายรายที่ถูกพิจารณา รวมถึงอันเดรีย แบร์ต้า ซึ่งเป็นตัวเต็ง บทบาทนี้มาพร้อมกับภารกิจที่ท้าทายมากมายซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและวิสัยทัศน์ที่เฉียบคม
ประการแรก ผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่จะต้องนำทีมในการเสริมสร้างขุมกำลังในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะในช่วงซัมเมอร์ที่กำลังจะมาถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งแนวรุกที่จำเป็นต้องได้รับการยกระดับ การระบุเป้าหมายที่เหมาะสมและเจรจาข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ต่อสโมสรเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ประการที่สอง การต่อสัญญานักเตะปัจจุบันถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อรักษาแกนหลักของทีมและป้องกันการสูญเสียผู้เล่นสำคัญโดยไม่มีค่าตอบแทน
ประการที่สาม การเพิ่มรายได้ผ่านการขายนักเตะเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาสมดุลทางการเงินและสร้างงบประมาณสำหรับกิจกรรมการซื้อขายนักเตะในอนาคต การระบุผู้เล่นที่เกินความต้องการหรือสามารถขายได้ในราคาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ
ประการที่สี่ ผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่จะต้องสามารถเริ่มงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยบูรณาการเข้ากับโครงสร้างของสโมสร และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้จัดการทีมและบุคลากรหลักอื่นๆ
สุดท้ายนี้ การมีส่วนร่วมในกระบวนการสรรหาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง และการให้คำแนะนำแก่ผู้มีอำนาจตัดสินใจ รวมถึง มิเกล อาร์เตตา และครอบครัวโครเอ็นเก้ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้มั่นใจว่าการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของสโมสร
1.การต่อสัญญานักเตะ
การแต่งตั้ง อันเดรีย แบร์ต้า เป็นผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของอาร์เซนอลมาพร้อมกับความคาดหวังและความท้าทายมากมาย หนึ่งในภารกิจสำคัญที่รออยู่เบื้องหน้าคือการบริหารจัดการสัญญาผู้เล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสัญญากับผู้เล่นหลักหลายรายที่มีสัญญาเหลือเพียงสองปีในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงนี้
ประเด็นสำคัญคือการรั้งตัวผู้เล่นคนสำคัญอย่าง บูคาโย่ ซาก้า, กาเบรียล มากัลเญส, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และวิลเลียม ซาลิบา ให้อยู่กับทีมต่อไป นโยบายของอาร์เซนอลคือการเจรจาต่อสัญญาตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อสัญญาเหลือสองปี แทนที่จะรอจนเหลือเพียง 18 เดือนหรือหนึ่งปี ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเสียผู้เล่นไปโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
สถานการณ์ของมาร์ติเนลลี่ดูจะผ่อนคลายลงบ้างเนื่องจากสโมสรมีสิทธิ์ในการขยายสัญญาออกไปอีก 12 เดือน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การเจรจาเงื่อนไขใหม่ที่ดึงดูดใจและรักษาความสมดุลทางการเงินของสโมสร
แม้ว่ารายงานบัญชีการเงินล่าสุดจะแสดงให้เห็นว่าค่าเหนื่อยรายปีของสโมสรเพิ่มขึ้นถึง 93 ล้านปอนด์ รวมเป็น 327.8 ล้านปอนด์ แบร์ต้าจะต้องบริหารจัดการงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้แน่ใจว่าสโมสรยังคงปฏิบัติตามมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งในระดับประเทศและยุโรป
โดยสรุป ภารกิจหลักของอันเดรีย แบร์ต้า คือการรักษาสมดุลระหว่างการรักษาผู้เล่นหลัก การดึงดูดผู้เล่นใหม่ และการบริหารจัดการทางการเงินอย่างยั่งยืน เพื่อนำพาอาร์เซนอลไปสู่ความสำเร็จในระยะยาว
2.การเซ็นสัญญานักเตะใหม่
การเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของอาร์เซน่อลของ อันเดรีย แบร์ต้า มาพร้อมกับความคาดหวังอันสูงยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจในการเสริมทัพนักเตะเพื่อยกระดับทีมให้กลับมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง หนึ่งในความท้าทายสำคัญคือการเฟ้นหานักเตะใหม่ที่สามารถเติมเต็มช่องว่างและเพิ่มศักยภาพให้กับทีมได้อย่างแท้จริง
จากผลงานที่ไม่สม่ำเสมอในช่วงที่ผ่านมา การเสริมทัพในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง อาร์เซน่อลมีเป้าหมายหลักในการเสริมความแข็งแกร่งในแนวรุก โดยเล็งเป้าไปที่ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าและริมเส้น อาทิ อเล็กซานเดอร์ อิซัค, เบนจามิน เซสโก้ และนิโก้ วิลเลียมส์ ซึ่งเป็นชื่อที่อยู่ในข่ายพิจารณา
นอกจากแนวรุกแล้ว ตำแหน่งกองกลางก็เป็นอีกจุดที่ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากอายุที่มากขึ้นของ จอร์จินโญ่ และ โธมัส ปาร์เตย์ รวมถึงสัญญาที่กำลังจะหมดลง ทำให้การเสริมทัพในตำแหน่งนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน โดยมี มาร์ติน ซูบิเมนดี้ เป็นเป้าหมายหลัก
ความสนใจในดาวรุ่งอย่าง สแวร์เร นีปาน และความเป็นไปได้ในการคว้าตัว โจชัว คิมมิช ก็เป็นประเด็นที่น่าจับตามองเช่นกัน นอกจากนี้ การหาผู้รักษาประตูมือสองเพื่อเป็นตัวสำรองและสร้างการแข่งขันในตำแหน่งดังกล่าวก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่แบร์ต้าต้องเผชิญ
โดยสรุปแล้ว การเสริมทัพนักเตะใหม่ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ อันเดรีย แบร์ต้า จะต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้การเสริมทัพเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถยกระดับทีมอาร์เซน่อลให้กลับมาแข็งแกร่งและพร้อมสำหรับการแข่งขันในฤดูกาลหน้า
3.การปล่อยนักเตะออกจากทีม
การมาถึงของอันเดรีย แบร์ต้า ในฐานะผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของอาร์เซนอล นำมาซึ่งความคาดหวังในการปรับปรุงทีมครั้งใหญ่ ภารกิจสำคัญประการหนึ่งคือการจัดการกับการปล่อยตัวนักเตะออกจากทีมอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าสโมสรจะมีงบประมาณสำหรับการเสริมทัพ แต่การระดมทุนจากการขายนักเตะก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างสมดุลทางการเงิน
การปล่อยตัวนักเตะที่รับค่าเหนื่อยสูงอย่าง จอร์จินโญ่, โธมัส ปาร์เตย์ และคีแรน เทียร์นีย์ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของสโมสรได้อย่างมาก ในขณะที่ กาเบรียล เฆซุส และทาเคฮิโระ โทมิยาสุ จะยังคงอยู่ในทีมต่อไปเนื่องจากอาการบาดเจ็บ
สถานการณ์ของ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้, ยาคุบ คิวิออร์ และเลอันโดร ทรอสซาร์ จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ ซินเชนโก้อาจได้รับความสนใจจากสโมสรอื่นเนื่องจากสัญญาที่เหลือเพียงปีเดียว ส่วนคิวิออร์อาจถูกปล่อยตัวหากได้รับข้อเสนอที่น่าพอใจ ทรอสซาร์ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ต้องตัดสินใจว่าจะเก็บไว้หรือขายออกไป
สุดท้ายนี้ ฟาบิโอ วิเอร่า และรีสส์ เนลสัน จำเป็นต้องหาสโมสรใหม่หลังหมดสัญญายืมตัว การจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้อย่างเหมาะสมจะเป็นตัวชี้วัดความสามารถของแบร์ต้าในการวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลของสโมสร

4.อะคาเดมี ของอาร์เซนอล
หนึ่งในภารกิจสำคัญที่รอคอย อันเดรีย แบร์ต้า ว่าที่ผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของอาร์เซน่อล คือการยกระดับและรักษามาตรฐานของอะคาเดมีสโมสร ก้าวแรกที่ มิเกล อาร์เตตา แสดงให้เห็นคือการเปิดโอกาสให้ดาวรุ่งอย่าง อีธาน เอ็นวาเนรี และ ไมล์ส ลูอิส-สเกลลี่ ได้สัมผัสประสบการณ์ในทีมชุดใหญ่ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนานักเตะเยาวชน
ภายใต้กฎหลัง Brexit แข้งดาวรุ่งชาวอังกฤษกลายเป็นทรัพยากรที่มีค่า อาร์เซน่อลเองก็ตระหนักถึงความสำคัญนี้ โดยมีการเดินหน้าสรรหานักเตะเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การเตรียมคว้าตัว คัลลัน ฮามิลล์ จากเซนต์ จอห์นสโตน บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นในการเสริมทัพระดับอะคาเดมี เพื่อยกระดับการแข่งขันภายในสโมสร
อย่างไรก็ตาม การรักษาดาวรุ่งที่มีศักยภาพให้อยู่กับสโมสรก็เป็นความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม การเสียผู้เล่นอย่าง ชิโด โอบี และ ไอเดน เฮเวน ให้กับทีมคู่แข่งแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดึงดูดและส่งเสริมการเติบโตของนักเตะเยาวชน
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ยังมีความหวังจากแข้งเยาวชนที่กำลังพัฒนาในระบบอะคาเดมี อาทิ แจ็ค พอร์เตอร์ และ แม็กซ์ ดาวแมน การสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของนักเตะเหล่านี้ จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับสโมสร และเป็นบทพิสูจน์ความสามารถของ อันเดรีย แบร์ต้า ในการบริหารจัดการและพัฒนาอะคาเดมีของอาร์เซน่อล
5.โมเดลหลายสโมสร (Multi-Club Model)?
การแต่งตั้งอันเดรีย แบร์ต้า เป็นผู้อำนวยการกีฬาคนใหม่ของอาร์เซนอล นำมาซึ่งความคาดหวังในการยกระดับสโมสรในหลากหลายมิติ หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่รออยู่คือการพิจารณาและดำเนินการตามแนวคิด “โมเดลหลายสโมสร (Multi-Club Model)” ซึ่งมิเกล อาร์เตตา ได้เสนอไว้ก่อนหน้านี้
แม้การตัดสินใจสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับตระกูลโครเอนเก้ แต่หากสโมสรตัดสินใจเดินหน้าพัฒนาโมเดลดังกล่าว บทบาทของผู้อำนวยการกีฬาจะเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนและดำเนินกลยุทธ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ข้อจำกัดด้านการย้ายทีมหลัง Brexit ซึ่งทำให้การเซ็นสัญญากับนักเตะต่างชาติอายุน้อยทำได้ยาก การมีสโมสรพันธมิตรจะช่วยให้สามารถบ่มเพาะนักเตะดาวรุ่งในต่างแดน ก่อนที่จะดึงตัวมาร่วมทีมเมื่อพร้อม
อย่างไรก็ตาม การนำโมเดลหลายสโมสรมาใช้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องมีการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่รัดกุม การประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างสโมสรในเครือ และการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะดำเนินตามแนวทางนี้หรือไม่ และหากดำเนินการ จะต้องทำอย่างไร จึงเป็นความท้าทายที่อันเดรีย แบร์ต้า จะต้องเผชิญและพิสูจน์ความสามารถในการนำพาอาร์เซนอลไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน