อาร์เซน่อล เริ่มต้นปี 2025 ด้วยชัยชนะที่นอกจากทำให้อยู่บนเส้นทางลุ้นแชมป์ฤดูกาลนี้ต่อไปแล้ว ยังได้เห็นแสงสว่างที่เป็นความหวังอีกด้วย
บททดสอบของ มิเกล อาร์เตต้า ในช่วงนี้คือ การเอาตัวรอดอย่างไรเมื่อไม่มี บูคาโย่ ซาก้า ที่บาดเจ็บพักนาน 1-2 เดือน
นัดแรกที่ไม่มี ซาก้า ผ่านพ้นไปได้แบบไม่ถึงกับราบรื่นมากนักในเกมเปิดรังเฉือนชนะ อิปสวิช 1-0 ก่อนเจองานยากขึ้นบุกเยือน เบรนท์ฟอร์ด ในวันขึ้นปีใหม่
เบรนท์ฟอร์ด ของกุนซือ โธมัส แฟร้งค์ อยู่เพียงอันดับ 12 ของตารางก็จริง แต่เป็นทีมที่มีผลงานในบ้านยอดเยี่ยมเก็บได้ถึง 22 คะแนนจาก 9 นัดแรก มากสุดในฤดูกาลนี้เท่ากับฝูง ลิเวอร์พูล
ผึ้งน้อยทำคะแนนหล่นในบ้านแค่ 2 นัด ที่เหลือใครมาเยือนโดนต่อยร่วงหมด
จุดน่าสนใจสำหรับ อาร์เซน่อล ตั้งแต่ประกาศรายชื่อออกมาคือ อาร์เตต้า เลือกใช้ อีธาน วาเนรี่ ดาวรุ่งวัย 17 ปี ลงตัวจริงพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในชีวิตกับการเล่นฝั่งขวาแทน ซาก้า พร้อมโยก กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ กลับมาฝั่งถนัดทางซ้าย
นี่คือครั้งแรกที่ อาร์เตต้า เลือกให้ วาเนรี่ เล่นบทบาทนี้ หลังทดลองมาแล้วหลายทางเลือกทั้ง มาร์ติเนลลี่, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ กาเบรียล เชซุส
ตอน ซาก้า เจ็บครั้งแรกในเกมเยือน บอร์นมัธ เมื่อเดือนตุลาคม สเตอร์ลิ่ง ได้โอกาสตัวจริง แต่เล่นไม่ได้เลยก่อนถูกถอดในนาที 37 หลัง วิลเลี่ยม ซาลีบา ได้ใบแดงทำให้ อาร์เตต้า ต้องปรับแท็กติกใหม่
ส่วน เชซุส ได้เล่นปีกขวาในเกมถัดมาที่เป็นถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชนะ ชัคตาร์ โดเนทส์ค 1-0 ซึ่ง อาร์เตต้า ปรับระบบเล่นหน้าคู่แบบ 4-4-2 ที่มี เลอันโทร ทรอสซาร์ ประสานงานข้างหน้ากับ ไค ฮาแวร์ตซ์
ตัวจริงครั้งแรกในลีกของ วาเนรี่ ก็เจอโจทย์ยากเลย และแทบไม่มีบทบาทมากนักในครึ่งแรก เขากลายเป็นผู้เล่นเอาต์ฟิลด์ที่สัมผัสบอลน้อยสุดเท่ากับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่
เมื่อปีกสองข้างทำเกมไม่ได้ การเจาะตรงกลางของ อาร์เซน่อล ก็ยิ่งลำบากซึ่งส่วนหนึ่งต้องให้เครดิต เบรนท์ฟอร์ด ที่เล่นได้ตามมาตรฐานเวลาปักหลักในรัง เกมรับเหนียวแน่น ส่วนเกมรุกอันตรายทุกครั้งที่ได้สวนกลับ
อาร์เซน่อล ครองบอลได้เหนือกว่า และการเล่นอยู่ในแดน เบรนท์ฟอร์ด เป็นหลัก แต่จังหวะลุ้นประตูจะแจ้งในช่วงแรกแทบไม่มี และสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือ เสียประตูในทันทีจากจังหวะบุกครั้งแรกของคู่แข่ง ไม่ต่างจากวันที่โดน ฟูแล่ม กะซวกประตูนำก่อน
มาร์ติน โอเดการ์ด จ่ายบอลพลาดโดนโต้กลับทันที มิคเคล ดัมส์การ์ด แทงให้ ไบรอัน เอ็มเบอโม่ ลากจี้ใส่ ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ก่อนยิงหักข้อด้วยซ้ายเข้าเสาแรกสุดแม่นยำ
น้ำหนักบอลไม่ได้แรงมากแต่ทิศทางดีเยี่ยม ดาบิด ราย่า ที่กลับมาเยือนถิ่นเก่า พุ่งเซฟไม่ทัน เอ็มเบอโม่ ยิงได้ดีจริงๆ
แต่ อาร์เซน่อล ก็ตามตีเสมอได้ก่อนเข้าสู่ 15 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรกจากการเก็บตกหน้าเขตโทษที่ โธมัส ปาร์เตย์ ได้โอกาสกดด้วยขวาติดเซฟ กาเบรียล เชซุส ตามโหม่งซ้ำตุงตาข่าย
เชซุส อยู่ถูกที่ถูกเวลา และเป็นสิ่งที่เขาควรทำในฐานะกองหน้าตัวเป้าที่ไม่จำเป็นต้องออกในเขตโทษบ่อยครั้ง หน้าที่หลักคือยิงประตู และไม่มีพื้นที่ใดที่มีโอกาสได้ลุ้นยิงมากเท่าในเขตโทษอีกแล้ว
อีกคนที่ต้องชมคือ ดาบิด ราย่า ที่ช่วยทีมไม่ให้เสียประตูที่สอง หลังซูเปอร์เซฟป้องกันลูกยิงของ คีน ลูอิส-พ็อตเตอร์ ก่อนตามไปควักบอลออกมาจากบนเส้นได้หวุดหวิดซึ่งภาพช้าชัดเจนว่าบอลยังไม่ข้ามเส้น
จังหวะเซฟของ ราย่า และลูกโหม่งตีเสมอของ เชซุส ห่างกันไม่ถึง 1 นาที นี่คือจังหวะสำคัญของเกมอย่างแท้จริง เบรนท์ฟอร์ด เกือบนำ 2-0 แต่กลายเป็น อาร์เซน่อล ตามตีเสมอ 1-1
พอกลับมาเล่นครึ่งหลังไม่นาน อาร์เซน่อล ก็เบิ้ลสองประตูรวดนำห่าง 3-1 ในแบบที่แฟนบอลเจ้าถิ่นยังงงๆ เพราะรูปเกมไม่ได้เป็นรองเลย
ต้องบอกว่าจังหวะได้ประตูทั้งสามประตูในเกมนี้เป็นใจให้ อาร์เซน่อล ทั้งหมดเลยเลยเพราะเป็นจังหวะ “เก็บตก” ทั้งหมด ไม่ได้มาจากการยิงครั้งแรกแล้วเข้าไปเลย แต่เป็นการตามซ้ำบ้าง คู่แข่งเคลียร์ไม่ขาดบ้าง หรือไม่ก็บอลเด้งไปเด้งมาเข้าทาง
แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่ ทุกประตูก็เป็นประตูที่ใสสะอาด และมีจุดเริ่มต้นจากความพยายามทั้งสิ้น หากไม่เล่นเกมรุก ไม่หาโอกาสให้ตัวเองก็ไม่มีทางทำได้แน่นอน
สองประตูต้นครึ่งหลังพลิกโฉมหน้าเกมไปเลย เบรนท์ฟอร์ด จะมัวแต่รับรอโต้อย่างเดียวไม่ได้ ขณะเดียวกัน อาร์เซน่อล ก็เล่นได้แบบไม่กดดันมากนัก และเริ่มเล่นได้อย่างที่ตัวเองต้องการมากขึ้นโดยเฉพาะ วาเนรี่
วาเนรี่ มีส่วนกับสองประตูในครึ่งหลังเพราะเป็นคนเปิดเตะมุมก่อนจบด้วยการยิงของ มิเกล เมริโน่ ในลูก 2-1 ขณะที่ประตู 3-1 ก็เป็นคนเปิดบอลเข้าเขตโทษแล้วโดนเคลียร์เข้าทาง มาร์ติเนลลี่ ซัดเปรี้ยงตุงตาข่าย
การเล่นในช่วงเวลาที่เหลือ วาเนรี่ เอาชนะ ลูอิส-พ็อตเตอร์ ได้บ่อยครั้ง และสามารถเปิดบอลสร้างโอกาสได้เป็นระยะ ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งเด่นขึ้นเรื่อยๆ
ปีกดาวรุ่งวัย 17 ปี เป็นทางเลือกอันดับ 4 ในการทดแทน ซาก้า แต่มีวิธีการเล่นคล้ายกับปีกรุ่นพี่มากสุดเนื่องจากถนัดเท้าซ้ายจึงโยกตัดเข้าในได้ ต่างจาก มาร์ติเนลลี่, ราฮีม และ เชซุส ที่เน้นลุยถึงสุดเส้นหลังแล้วเปิดเข้ากลางมากกว่า
อาร์เซน่อล เล่นเกมรุกฝั่งขวาเป็นหลักซึ่งด้วยสไตล์การเล่นของ วาเนรี่ ที่คล้าย ซาก้า ในแง่การเลี้ยงตัดเข้าใน ก็ทำให้เขาเริ่มประสานงานกับ มาร์ติน โอเดการ์ด ได้ดีกว่าตัวเลือกอื่น และเมื่อตัดเข้าในแล้วก็มีพื้้นที่ให้แบ็กขวาได้เติมขึ้นมาด้านหลัง ไม่ต้องกั๊กจังหวะกันเอง
แน่นอนว่าไม่มีใครทดแทน ซาก้า ได้แบบไร้ที่ติเพราะดาวเตะทีมชาติอังกฤษเซตมาตรฐานเอาไว้สูงมากทั้งสถิติการทำประตู แอสซิสต์ และสร้างโอกาส
แต่สิ่งที่ อาร์เตต้า และทุกคนในทีมต้องทำคือ ยกระดับขึ้นมาให้ได้ และทำให้ดีที่สุดทั้งในตำแหน่งของ ซาก้า และตำแหน่งอื่นๆ เช่นเกมรุกฝั่งซ้ายที่ช่วงนี่้ก็ต้องเป็นที่พึ่งพาให้ได้มากกว่าเดิม ไม่ใช่ให้ฝั่งขวาแบกตลอด
อีธาน วาเนรี่ สอบผ่านกับครั้งแรกในการเล่นแทน ซาก้า และเป็นครั้งแรกที่ลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกซึ่งบังเอิญมากว่าเป็นการเจอคู่แข่งทีมเดิม และสนามแห่งเดิมกับสองฤดูกาลที่แล้วตอนได้ประเดิมชุดใหญ่จนกลายเป็นแข้งอายุน้อยสุดตลอดกาลลงเล่นในพรีเมียร์ลีก
นี่คือผลงานที่น่าประทับใจของดาวรุ่งจะกำลังเป็นความหวังมากสุดในการอุดรอยรั่วทางฝั่งขวา และเป็นเหมือนแสงแรกในการเริ่มต้นปีที่แม้ยังไม่สว่างไสวมากนัก แต่ก็มากพอนำทางให้เดินทางไปข้างหน้าได้
ขอบคุณข้อมูล คอลัมน์ โรงเตี๊ยมลูกหนัง โดย ทอมมี่ ท่ามะกา